
๒
แผนการ
บรรยากาศการประชุมโพรเจกต์ละคร GenZ เด็กพันธุ์เดือด เป็นไปได้ด้วยดี บทที่จิรัศยาได้รับเป็นอาจารย์สุดแซ่บที่ปากร้ายใจดีคอยยืนหยัดเคียงข้างนักเรียนที่มีปัญหา ส่วนตัวละครหลักอื่นๆ คือนักแสดงวัยรุ่นซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในยุคนี้
“หลักๆ ก็คงมีแค่นี้ เราจะเปิดกล้องกันเดือนหน้า ยังไงก็ฝากทุกฝ่ายเต็มที่กับโพรเจกต์นี้นะครับ ขอบคุณครับ”
มีเสียงตอบรับดังเซ็งแซ่จากบรรดาผู้เข้าร่วมประชุมหลายสิบคน พอผู้คนเริ่มลุกออกไป จิรัศยาจึงสาละวนกับการเก็บบทละครและของใช้ส่วนตัวลงกระเป๋า เงยหน้าอีกทีก็พบว่าชานนท์มายืนพิงโต๊ะยิ้มเผล่อยู่ข้างๆ
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” เธออดถามไม่ได้ ด้วยคิดว่าเขาอาจจะมีอะไรชี้แนะเพิ่มเติมในส่วนของงาน
“จินมีนัดที่ไหนต่อหรือเปล่า”
ถามมาแนวนี้จิรัศยาก็รู้แล้วว่าจะตอบแบบไหน “ไม่มีค่ะ”
“งั้นไปกินข้าวกัน ร้านเดิมก็แล้วกันนะ จินไม่ได้ไปนานแล้วนี่”
จิรัศยาพยักหน้าทั้งรอยยิ้ม ดูสิ...เขาน่ารักและเอาใจใส่ขนาดนี้ จะไม่ให้หลงรักได้ยังไง แต่พอเดินออกมาพ้นประตู ความรื่นรมย์ก็พังครืนเพราะมีนักแสดงและทีมงานอีกเกือบสิบชีวิตยืนรออยู่
“พร้อมกันแล้วนะครับ ใครไม่ได้ขับรถมา ไปรถผมก็ได้” เขาประกาศต่อหน้าคนอื่นๆ ก่อนจะโน้มลงมากระซิบใกล้ “จินไม่ได้ขับรถมาใช่ไหม”
คนฟังส่ายหน้าด้วยวางแผนจะชวนเขาไปดินเนอร์และอ้อนให้ไปส่งที่คอนโด ขามาจึงเรียกรถโดยสารสาธารณะ แต่แล้วก็ไม่เป็นดังที่หวังจึงได้แต่เดินตามมนุษย์เฟรนด์ลีอย่างชานนท์ไปแบบเซ็งๆ
“ฉันเดาได้แต่แรกแล้วว่าต้องออกมาอีหรอบนี้”
เสียงของบุรัสกรดังแข่งเสียงทีวีออกมาหลังจากจิรัศยากลับถึงห้องแล้วเล่าความผิดหวังให้ฟัง จากดินเนอร์สองต่อสองกลายเป็นงานเลี้ยงทีมงานไปเสียอย่างนั้น
“ถ้ารู้ล่วงหน้าฉันจะไม่ใส่เดรสแขนกุดไปหรอก หนาวก็หนาว” คนเตรียมความพร้อมแต่งสวยหัวจดเท้าหวังให้หนุ่มประทับใจพ่นลมหายใจยาว
“ไอ้คุณนนท์ของแกไม่ถอดเสื้อมาคลุมให้เหรอ” บุรัสกรถามอย่างใคร่รู้ เพราะเท่าที่เคยเจอและฟังจิรัศยาพูดถึงมานานก็พอจะเดาได้ว่าชานนท์ไม่ใช้ผู้ชายประเภทปล่อยให้ผู้หญิงทนหนาวแน่ๆ
“ดันมีคนใส่เกาะอกไปน่ะสิ”
คนฟังขำก๊าก “นี่ละ เขาเรียกเหนือฟ้ายังมีฟ้า ว่าแต่ใครกันกล้าประกาศตัวแย่งไอ้คุณนนท์กับแก”
“ยายญิ๋งญิ๋ง” จิรัศยาทำหน้ามุ่ยอย่างเซ็งๆ นักแสดงคนดังกล่าวกำลังโด่งดังจากซีรีส์วัยรุ่นหลายเรื่อง ครั้งนี้บริษัทของเธอถึงกับยอมจ่ายค่าตัวมากถึงสองเท่าเพื่อดึงมาร่วมงานข้ามค่ายเป็นครั้งแรก
“เพิ่งอายุสิบเก้าเองนี่”
จิรัศยาจิกตาใส่เพื่อนแทนคำพูด “แล้วไง พี่นนท์ไม่ได้เป็นคนแบบนั้นเสียหน่อย”
“หรา...” บุรัสกรลากเสียงยาวอย่างอดไม่ได้ “ให้ทายไหมล่ะ ทั้งมื้ออาหารไอ้คุณนนท์ของแกเทกแคร์น้องญิ๋งญิ๋งอย่างดี แบบไม่มีที่ให้แกแทรกเลย”
คำพูดดังกล่าวตีแสกหน้าจิรัศยาเต็มๆ เพราะแม้เธอจะได้นั่งฝั่งขวา แต่ดูเหมือนชานนท์จะสนใจคนที่นั่งฝั่งซ้ายอย่างญิ๋งญิ๋งมากกว่า แถมตอนขากลับก็มาส่งเธอก่อนแล้วค่อยไปส่งญิ๋งญิ๋งต่อ
“ฉันไม่คุยกับแกแล้ว” เธอหยิบกระเป๋าเดินไปห้องตัวเองอย่างเซ็งๆ
“แทงใจดำละสิ”
“ย่ะ! พอใจหรือยัง” จิรัศยาทำหน้ามุ่ยใส่เพื่อนรักอีกทีก่อนจะปิดประตูเสียงดัง ทิ้งให้คนมองตามได้แต่ส่ายหน้า
“แกควรเลิกหวังกับผู้ชายคนนี้ได้แล้ว” บุรัสกรเห็นจิรัศยาหลงใหลได้ปลื้มชานนท์มาหลายปี แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้ามากกว่าที่เป็นอยู่ ฝ่ายชายดูแลแต่ไม่เคยชัดเจนเรื่องสถานะ ทำให้จิรัศยาปิดกั้นตัวเอง ปฏิเสธชายหนุ่มมากหน้าหลายตาที่ตบเท้าเข้ามาหา กระทั่งอยู่เป็นโสดจนอายุจะล่วงเข้าเลขสามอยู่รอมร่อแล้ว
“ฉันได้ยินนะ”
เป็นเสียงที่ตะโกนมาจากฝั่งของห้องที่ประตูเพิ่งปิด บุรัสกรก็ตะโกนกลับไปเช่นกัน
“ก็ตั้งใจให้ได้ยิน จะได้ตัดใจเสียที”
ประตูเปิดผลัวะทันทีที่พูดจบประโยค จิรัศยาโผล่หน้าออกมาด้วยท่าทีขึงขัง “ไม่มีทาง ตราบใดที่พี่นนท์ยังไม่คบใคร ฉันจะไม่ตัดใจ”
“แต่ฉันว่า...”
“ไม่มีแต่ เลิกพูดเรื่องฉันกับพี่นนท์ได้แล้ว ฉันรู้ว่าควรทำยังไง ถ้าแกว่างมาช่วยฉันเก็บของดีกว่า ถึงจะย้ายไปบ้านนายเตวันมะรืน แต่สองวันที่เหลือนี้คิวฉันแน่นมาก”
จิรัศยาออกแนวสั่ง พร้อมกับเปิดประตูกว้าง บุรัสกรจึงลุกไปอย่างเสียไม่ได้ แล้วจากนั้นสองเพื่อนซี้ก็ยังได้ปะทะคารมกันอีกหลายเรื่อง ทั้งเสื้อผ้าที่ควรใส่ ของใช้ส่วนตัวที่ควรเอาไป หรือแม้แต่ชุดชั้นในที่ปกติแล้วจิรัศยาชอบใส่แบบชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก็ต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับการอยู่ร่วมชายคากับผู้ชายมากขึ้น
สองสาวแทบไม่รู้ตัวเลยว่าสิ่งที่ควรกังวลไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยพวกนั้นเลย
แล้ววันดีเดย์ของจิรัศยาก็มาถึง โดยมีบุรัสกรขับรถมาส่งเพื่อสำรวจเส้นทางและหาทางหนีทีไล่ไว้เผื่อให้เพื่อนรักเอาตัวรอด
“หมู่บ้านนี้เป็นส่วนตัวดี การรักษาความปลอดภัยก็ใช้ได้ คงไม่ต้องห่วงเรื่องนักข่าวหรอก” หลังจากขับรถวนตามซอกซอยต่างๆ แล้วสองรอบ สารถีก็เริ่มวางใจระดับหนึ่ง
“ฉันก็บอกแล้วไงว่าเป็นหมู่บ้านปิด ฉันหาข้อมูลมาแล้วน่า”
ตั้งแต่ได้ที่อยู่จากนักสืบ จิรัศยาก็ค้นหาข้อมูลจากในอินเทอร์เน็ตจนแน่ใจว่าสามารถอยู่ที่นี่ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องนักข่าว บ้านในหมู่บ้านนี้ราคาประมาณหลักสิบล้านต้นๆ จึงขึ้นชื่อเรื่องให้ความเป็นส่วนตัวแก่ลูกบ้านเป็นอันดับหนึ่ง
“แล้วพ่อของลูกแกอยู่หลังไหน”
จิรัศยาถลึงตาใส่คนถาม คว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดที่อยู่ยื่นให้ดูอีกครั้ง
“น่าจะซอยหน้า” บุรัสกรขับไปตามตัวเลขประจำซอย ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปแล้วไล่ดูบ้านเลขที่ที่ติดอยู่ตามเสาอีกรอบ และทันทีที่ถึงจุดหมายทั้งสองก็อดไม่ได้ที่จะหันมองหน้ากัน
“ใช่หลังนี้แน่เหรอ” จิรัศยาก้มมองตัวเลขบนจอสลับกับบ้านเลขที่บนเสาอีกครั้ง
“ลึกสุดเลยว่ะแก” บุรัสกรหันมองโดยรอบ บ้านเตวิชอยู่หลังริม ด้านซ้ายเป็นกำแพงต้นไม้สูงหลายเมตร รั้วหน้าบ้านมิดชิด มองดูแล้วให้ความรู้สึกวังเวงมากกว่าร่มรื่น
“ไหวแน่นะ”
มองดูบ้านแล้วจิรัศยาก็เริ่มไม่แน่ใจ แม้จะไม่แตกต่างจากภาพโพรโมตที่ได้เห็นผ่านตา แต่บรรยากาศช่างเงียบสงบเสียจนน่าขนลุก เธอกลืนน้ำลายก่อนจะฮึดสู้
“ไม่ไหวก็ต้องไหว”
“เฮ้ย! ไม่ต้องฝืนตัวเองขนาดนั้น เราลองหาวิธีอื่นก็ได้” บุรัสกรยังคงแย้งจนวินาทีสุดท้าย
“เวลาไม่รอใคร นี่ก็เกือบเดือนแล้วที่เราไม่ได้ข่าวเรนนี่ ฉันทนรอเฉยๆ ไม่ได้หรอก” จิรัศยากล่าวอย่างมุ่งมั่น ด้วยไม่รู้จะไปสืบข่าวของเรนนี่จากที่ไหนอีก “เอาน่า ฉันจะเปิดโทรศัพท์มือถือไว้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ทั้งสองเครื่องเลย”
บุรัสกรจำต้องพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ จิรัศยาก็เป็นเสียแบบนี้ ลองตั้งใจทำอะไรแล้วก็จะไม่ย่อท้อจนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่พอใจ ตลอดมาเธอเคยคิดว่ามันเป็นข้อดี เพิ่งจะมีวันนี้ที่ไม่มั่นใจเสียแล้ว
“ฉันไปละ” จิรัศยากระชับกระเป๋าสะพายเตรียมลงจากรถ พอเห็นเพื่อนจะลงตามก็รีบห้ามปราม “แกไม่ต้องลงหรอก เดี๋ยวพ่อของลูกฉันเห็นจะสงสัยเอาเปล่าๆ เปิดท้ายรถให้ก็พอ”
บุรัสกรขำแห้งกับคำประชด แต่ก็ยอมทำตาม รอจนกระเป๋าล้อลากขนาดยี่สิบนิ้วถูกยกออกไปวางที่หน้าประตูบ้าน
“แกรีบไปเถอะ เดี๋ยวจะมีใครมาเห็นเข้า”
บุรัสกรพยักหน้าเนือยๆ ขณะขับรถออกมาก็ยังดูกระจกมองหลังเป็นระยะ เห็นเพื่อนรักก้มสำรวจตัวเองอยู่ครู่ก่อนจะเดินเข้าไปกดกริ่งที่หน้าประตู
“ขอให้รอดปลอดภัยนะยายจิน” เธออดสังหรณ์ใจไม่ได้เลยจริงๆ ว่าแผนการในครั้งนี้ดูไม่ง่ายดายขนาดนั้น
จิรัศยายืนรออยู่ร่วมสิบนาทีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีใครมาเปิดประตูให้ สุดท้ายก็คว้าโทรศัพท์มือถือกดโทร. หาคนที่แลกเบอร์กันไปเมื่อไม่กี่วันก่อน รอสายอยู่นานจึงมีเสียงตอบกลับมาแบบอู้อี้เต็มที
“สวัสดีค่ะคุณเต ฉันจินค่ะ จะย้ายมาอยู่บ้านคุณวันนี้” เธอพยายามเอ่ยอย่างใจเย็นทั้งที่อารมณ์เริ่มเดือดปุดๆ มีอย่างที่ไหนทิ้งให้คนมีชื่อเสียงอย่างเธอต้องยืนรอ เกิดใครผ่านมาเห็นเข้าคงได้เป็นข่าว
คนฟังใช้เวลาประมวลผลประโยคของเธออยู่หลายอึดใจก่อนจะตอบกลับมาสั้นๆ ว่า ‘อ้อ’ แล้วสัญญาณก็ถูกตัดไป จิรัศยามองหน้าจอโทรศัพท์มือถือพร้อมอุณหภูมิในกายที่เริ่มสูงขึ้น
“จะเล่นแบบนี้ใช่ไหม” เธอจัดแจงจะกดโทร. ซ้ำ ระหว่างนั้นเสียงปลอดล็อกประตูรั้วดังขึ้น เธอรอเพราะคิดว่าจะมีคนมาเปิดให้ แต่จนแล้วจนรอดก็เงียบจึงถือวิสาสะเปิดเข้าไปเสียเอง จากรั้วถึงประตูบ้านห่างกันเพียงไม่กี่เมตรและแน่นอนว่าเธอไม่เสียเวลายืนรอให้ใครมาเปิดแล้ว
สภาพภายในบ้านทำให้จิรัศยาถึงกับกระชับกระเป๋าแน่น เพราะมันมืดสลัวจนแทบจะเหมือนตอนกลางคืน ผ้าม่านปิดมิดชิดทุกด้าน ขณะหันรีหันขวางว่าควรทำยังไงดี จู่ๆ ก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“กำลังเปิดม่านครับ”
เธอเหลียวซ้ายแลขวาแต่ก็ไม่เห็นใครอื่นกระทั่งมีเสียงฝีเท้าใครบางคนเดินลงบันไดมา พร้อมๆ กับตัวบ้านที่ค่อยๆ สว่างขึ้น เตวิชเดินมาหยุดตรงหน้าในสภาพงัวเงีย
“โทษที ผมลืม”
เขากล่าวสั้นๆ ในสภาพที่ยังอยู่ในชุดทำงาน เสื้อเชิ้ตสีกรมท่าที่ค่อนข้างยับ กระดุมถูกปลดลงมาสามเม็ด แขนเสื้อถูกถกขึ้นไปจนถึงข้อศอกและกางเกงสแล็กสีดำ
จังหวะที่ฝ่ายนั้นยกมือเสยผมเล่นเอาจิรัศยามองตาค้างไปชั่วอึดใจ แม้สภาพจะดูอิดโรยแต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาก็เป็นผู้ชายที่น่ามองคนหนึ่ง
“มะ...ไม่เป็นไร” เธอเบือนหน้าหนีอย่างเงอะงะเต็มที ปล่อยมือจากกระเป๋าแล้วเดินตามไปยังเคาน์เตอร์บาร์เล็กๆ ที่ตั้งอยู่ด้านหลังห้องรับแขก เห็นเขาหยิบแก้วมาวางและเปิดตู้เย็นที่ถูกบิลต์อินให้กลมกลืนกับตู้วางเครื่องดื่มทางด้านหลังก็นึกชื่นชมที่พอมีน้ำใจอยู่บ้าง
“คุณแน่ใจใช่ไหม”
เป็นคำถามจากคนที่กำลังรินน้ำใส่แก้ว พอได้ปริมาณที่พอเหมาะก็เงยหน้ามาสบตากับเธอที่ยืนอยู่อีกฝั่งของเคาน์เตอร์บาร์
“เรื่องอะไรคะ”
เตวิชไม่ตอบแต่กลับใช้สายตามองเธอตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงบริเวณท้อง ทำให้คนโดนพิจารณาถึงกับต้องรีบยกมือขึ้นมากุมไว้
“ฉันแน่ใจ ถ้าคุณไม่เชื่อ...”
“เรื่องที่จะมาอยู่ที่นี่”
ประโยคตัดบททำให้จิรัศยากลับลำแทบไม่ทัน “แน่ใจ!” เธอน้ำเสียงดังฟังชัด แถมยังเชิดหน้าอย่างไม่ยอมให้ไล่ออกไปง่ายๆ
เตวิชไม่ว่าอะไร เพียงกระตุกยิ้มแล้วยกน้ำที่ตัวเองรินขึ้นมาดื่มจนหมด ทิ้งให้คนที่คิดว่าอีกฝ่ายรินน้ำให้ได้แต่มองตาค้าง
โอเค! เธอขอเปลี่ยนคำพูด ผู้ชายคนนี้ไม่มีน้ำใจเลยสักนิด
“ผมจะพาไปที่ห้อง”
จิรัศยามองแก้วน้ำเปล่าแล้วกลืนน้ำลาย กระนั้นก็ไม่ยอมเสียศักดิ์ศรี เดินไปคว้ากระเป๋าแล้วตามอีกฝ่ายไปติดๆ
ห้องของเธออยู่ชั้นล่างถัดจากห้องรับแขก ถัดไปเป็นโซนสวนที่มีสระว่ายน้ำขนาดย่อม ตรงข้ามเป็นห้องออกกำลังกายที่มีอุปกรณ์เพียงไม่กี่ชิ้น
“ทำไมให้ฉันพักที่นี่ล่ะ” จิรัศยาอดถามไม่ได้ คิดว่าอย่างน้อยชั้นบนก็ต้องมีสองสามห้อง
“คุณท้องไม่ใช่เหรอ”
“ก็...ใช่” เธอตอบรับเกือบจะอัตโนมัติ แต่ก็ยังงงกับคำถามของเขา
“เดินขึ้นเดินลงคงไม่ดี ระวังไว้จะดีกว่า”
จิรัศยากะพริบตาปริบๆ ยังไม่ทันเอ่ยอะไร เจ้าของบ้านก็เดินจากไปเสียแล้ว
“นี่! คุณ...”
“ผมจะไปนอน มีอะไรก็ค่อยคุยละกัน”
“นี่!” คำเรียกของเธอดูจะไม่มีผลเพราะอีกฝ่ายไม่หันกลับมาสักนิด จิรัศยามองตามอย่างหงุดหงิดแต่โวยวายอะไรมากก็ไม่ได้เพราะไม่ใช่ถิ่นตัวเอง จึงได้แต่ลากกระเป๋าเข้าไปในห้องพักพร้อมบ่นกระปอดกระแปด “สิบโมงกว่าแล้วจะนอนกินบ้านกินเมืองหรือไง ดี! งั้นก็นอนไปนานๆ เลย” เธอทิ้งตัวลงบนเตียงนอน หลับตาสงบจิตสงบใจสักครู่ วางแผนว่าจะลุกขึ้นมาจัดข้าวของ จากนั้นจะอาศัยช่วงที่เขานอนไปสำรวจบ้านหลังนี้อย่างละเอียด บางทีอาจพบเบาะแสสำคัญที่เธอต้องการอยู่ก็ได้
แต่พอจัดของเสร็จท้องไส้กลับประท้วงเพราะมื้อเช้าจัดเบาๆ แค่ขนมปังกับกาแฟ เธอจึงไปสำรวจบาร์กับตู้เย็น และก็เป็นไปอย่างที่คิด ไม่มีอะไรกินได้เลย มีแต่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงเดินลึกเข้าไปยังห้องครัวที่อยู่ติดกัน สำรวจอยู่ร่วมสิบนาทีก็ไม่พบอะไรนอกจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจึงต้องประทังความหิวไปแบบนั้น พอท้องอิ่มก็เดินย่อยอาหารและสำรวจพื้นที่ชั้นล่างโดยเริ่มจากบริเวณรอบๆ บ้านเป็นอันดับแรก
“ติดเยอะเกินไปไหมเนี่ย” เธอหยุดมองกล้องวงจรปิดที่ติดตามรั้วอย่างสนใจ เท่าที่เห็นเหมือนเตวิชใส่ใจเรื่องการรักษาความปลอดภัยมากจริงๆ
“ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ” นี่เป็นอีกสิ่งที่กระตุ้นสมมุติฐาน ถ้าบ้านนี้ไม่มีสิ่งผิดกฎหมายหรือความลับใดๆ คงไม่ติดกล้องวงจรปิดทุกๆ สิบเมตรอย่างนี้
หลังจากทัวร์โดยรอบจนสมใจ สอดส่องมองหาจุดที่พอจะเป็นห้องลับหรือห้องใต้ดินใดๆ ก็ไม่พบ จึงเข้ามาสำรวจในตัวบ้านชั้นล่างต่อ แล้วก็เจอสิ่งที่ทำให้ตกใจมากยิ่งขึ้นไปอีก
“ติดกล้องวงจรปิดในตัวบ้านด้วย บ้าไปแล้ว!” จิรัศยาพบกล้องวงจรปิดแบบไอพีคาเมรา (กล้องวงจรปิดขนาดเล็ก ดูภาพสดผ่านเครือข่าย) ทั้งที่วางอยู่บนหลังตู้และติดบนผนังในทุกห้องที่สำรวจ ทั้งห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องออกกำลังกาย
“อย่าบอกนะ!” เหมือนจะคิดอะไรออก เธอรีบวิ่งเข้าไปสำรวจตรวจตราในห้องพัก แล้วก็ไม่ต่างจากที่คิด มีกล้องไอพีเคเมราตั้งเนียนๆ อยู่กับโต๊ะหัวเตียง ขนาดเล็กกว่าด้านนอก แถมเวลาเธอเดินผ่านยังมีเสียงกล้องหมุนตามเสียอีก
“อ๊าย! ไอ้คุณเต!” จิรัศยาหัวเสียจนอยากจะบุกขึ้นไปปลุกคนหนีไปนอนมาคุยกันให้รู้เรื่อง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่กล้าบุ่มบ่ามด้วยไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้างที่ชั้นบน เกิดหมอนั่นโกรธจนไล่ออกจากบ้าน แผนการที่วางมาอย่างดิบดีคงล่มไม่เป็นท่า
“คิดหรือว่าฉันจะยอมง่ายๆ” เธอพอรู้เรื่องกล้องวงจรปิดชนิดนี้มาบ้าง จึงเดินไปปิดสวิตช์แล้วถอดปลั๊กออกเสีย เท่านี้ในห้องก็น่าจะปลอดภัย และแม้จะจัดการไปได้แล้วหนึ่งตัวแต่ก็ยังคงหวาดระแวง จึงทั้งรื้อทั้งค้นทั่วทั้งห้องกระทั่งแน่ใจแล้วว่าไม่มีส่วนไหนเล็ดลอดสายตา
จิรัศยาเสียเวลาไปทั้งบ่าย หันมองนาฬิกาอีกทีก็พบว่าเกือบหกโมงเย็นแล้ว
“เฮ้อ...หิว” เธอยกมือลูบท้อง ดูเหมือนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจะย่อยไปนานแล้ว ในเมื่อทั้งบ้านไม่มีของกินใดๆ และเธอคงไม่ฝากท้องไว้กับบะหมี่อีก จึงสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชัน กดเลือก กดปักหมุดและจ่ายเงิน เพียงไม่กี่นาทีก็เสร็จ แถมร้านที่สั่งก็อยู่ไม่ไกล ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงอาหารญี่ปุ่นหน้าตาน่ารับประทานก็มาวางอยู่บนโต๊ะกินข้าว แต่ยังไม่ทันจะลงมือรับประทาน เจ้าของบ้านที่เธอแทบลืมไปแล้วว่าอยู่ด้วยก็เดินลงมา
“น่ากินดีนี่ สั่งเผื่อผมหรือเปล่า”
ด้วยความที่ยังเคืองเรื่องกล้องวงจรปิด จิรัศยาจึงใช้มือกวาดอาหารมากองอยู่ด้านหน้าตัวเอง
“ไม่มีค่ะ”
“ใจดำ!”
จิรัศยาหันขวับ นี่เขา...กล้าว่าเธอใจดำ ใครที่ทิ้งกันไปตั้งแต่สิบโมง แถมยังติดกล้องวงจรปิดเพื่อจับผิดเธอเสียทั่วบ้านกระทั่งในห้องพักส่วนตัว
“เชิญไปหาของกินเองเถอะค่ะ หลังมื้อค่ำฉันขอคุยด้วยหน่อย”
“ได้สิ” เขารับปากโดยง่าย แต่ไม่ได้ไปหาของกินอย่างที่เธอบอก กลับนั่งตรงข้ามและคว้าโทรศัพท์มือถือของเธอไปเสียเฉยๆ
“คุณจะทำอะไร เอาโทรศัพท์ฉันมานะ”
จิรัศยาพุ่งไปหวังคว้าคืน แต่อีกฝ่ายก็เบี่ยงตัวหนี เธอจึงยื้อแย่งเต็มที่ แม้จะมีความสูงถึงหนึ่งร้อยหกสิบห้าเซ็นต์แต่อีกฝ่ายก็เหมือนจะเหนือกว่าเกือบยี่สิบเซ็นต์
“คุณเต!”
“ใจเย็นๆ สิครับคุณจิน กระโดดโลดเต้นแบบนี้เดี๋ยวเด็กก็หลุดออกมาหรอก”
สีหน้าราวกับรู้ทันทำให้จิรัศยาชะงัก
“ลูกฉันแข็งแรงค่ะ” เธอตอกกลับแล้วแบมือขอโทรศัพท์มือถือคืนแต่โดยดี
“สั่งอาหารให้ผมก่อน”
“คุณก็สั่งเองสิ อย่าบอกนะว่าสั่งไม่เป็น” ความหิวและโมโหทำให้จิรัศยาไม่อยากจะโต้เถียงใดๆ เธออยากกินๆ แล้วหนีเข้าไปกรี๊ดในห้องเพื่อระบายความอัดอั้นสักรอบ
“โทรศัพท์ผมอยู่ข้างบน ลืมถือลงมา”
จิรัศยาชักสีหน้า
“อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย คุณไม่เคยได้ยินเหรอ”
เขาพูดมาเสียขนาดนี้ จิรัศยาจึงคว้าโทรศัพท์มือถือมาเปิดแอปพลิเคชันอย่างเสียไม่ได้
“จะกินอะไร”
“มีอะไรน่ากินบ้าง”
คนอารมณ์เสียมองตาขวางก่อนจะชูไปให้ตรงหน้า แต่เหมือนเตวิชจะไม่พอใจจึงแย่งไปหวังจะเลือกเอง แต่จิรัศยาก็ยื้อไว้ ไม่อยากให้เขาวุ่นวายกับของใช้ส่วนตัวมาก
“ผมเห็นไม่ชัด คุณกลัวอะไร ผมก็นั่งเลือกอยู่ตรงนี้”
จิรัศยาตวัดค้อน จำต้องปล่อยมือแต่โดยดี ระหว่างเขาเลือกอาหารเธอก็ทำเป็นแกะส่วนของตัวเองพร้อมกับเหลือบมองแทบทุกอิริยาบถ จนผ่านไปเกือบห้านาทีคนที่เลือกเมนูก็ยื่นกลับคืน
“เอาเหมือนของคุณก็แล้วกัน”
“หา!”
“จ่ายเงินก็รอรับให้ด้วย ผมขอไปอาบน้ำแป๊บ”
ว่าแล้วคนกวนประสาทก็เดินกลับขึ้นชั้นบนไปอย่างไม่รู้สึกรู้สา ทิ้งให้จิรัศยาตีอกชกหัวอยู่ลำพัง
“ไอ้คนบ้า เอาเหมือนกันแล้วจะเลือกมากทำไม ไอ้คนถ้ำมอง ไอ้โรคจิต ไอ้คนงก ซูชิแค่นี้ก็จ่ายเงินเองไม่ได้ ไอ้คนกลัวสังคม ทำไมไม่รอรับอาหารเองหา!” คำบ่นยังดังต่อเนื่องเป็นชุด จิรัศยาเปลี่ยนความโมโหทั้งหมดไปลงกับซูชิที่ทยอยเข้าปากคำแล้วคำเล่า
อาหารมาส่งในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเช่นเดิม และพอจิรัศยาเดินกลับเข้ามาก็พบเตวิชนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว
“แสนรู้จริงๆ” เธอบ่นอุบอิบก่อนจะเดินเข้าไปวางอาหารทั้งหมดให้ตรงหน้า “เชิญค่ะ กินเสร็จแล้วขอรบกวนสักสิบนาที ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
เจ้าของบ้านแค่ยักไหล่ คว้ากล่องอาหารไปกินอย่างสบายอารมณ์ จิรัศยาเห็นแล้วก็ได้แต่กำหมัดเดินหนีไปนั่งรอที่ห้องรับแขก กลัวจะเผลอลงมือฆาตกรรมใครบางคนไปเสียก่อน
ผ่านไปร่วมยี่สิบนาทีเตวิชก็เดินมานั่งที่โซฟาอีกฝั่ง จิรัศยาจึงวางโทรศัพท์มือถือที่กำลังเมาท์มันกับบุรัสกรลง ขยับนั่งตัวตรงอย่างเป็นการเป็นงาน
“ฉันมีคำถาม” เธอชิงพูดก่อน ส่วนคนฟังก็ได้แต่ยักไหล่จึงเข้าใจเอาเองว่านั่นคือสัญญาณเปิดโอกาสให้เธอได้พูด
“เรื่องกล้องวงจรปิด”
“เจอแล้วเหรอ”
ดูพูดเข้า! ช่างธรรมดาโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร นั่นยิ่งทำให้อารมณ์ที่เย็นลงไปแล้วของจิรัศยาพุ่งขึ้นสูง
“คุณจะติดทุกสิบเมตรตามรั้วบ้านฉันไม่มีปัญหา จะวางตามมุมต่างๆ ของบ้านก็ได้เพราะมันเป็นบ้านของคุณ แต่ทำไมต้องติดในห้องนอนฉันด้วย”
“เพื่อความปลอดภัยของคุณไง”
“บ้านคุณอันตรายขนาดนั้นเลยเหรอ”
เตวิชยังคงนิ่ง คนที่ทนไม่ได้จึงยิ่งโวยวาย “ฉันไม่ใช่ช่วงช่วง หลินฮุ่ยนะ ที่ต้องออนแอร์เรื่องส่วนตัวตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง”
มุมปากเขายกขึ้นสูงนิดหนึ่งจิรัศยาสังเกตได้ นี่เขาเห็นเรื่องคอขาดบาดตายของเธอเป็นเรื่องตลกเหรอ
“คุณเต!”
“คุณก็ปิดไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
“คุณแอบส่องฉันจริงๆ โรคจิต!”
ไม่มีคำแก้ตัวใดๆ นั่นเท่ากับยอมรับไปโดยปริยาย
“มันจะเกินไปแล้วนะคะ ฉันเข้ามาอยู่ที่นี่ในฐานะแม่ของลูกคุณนะ ไม่ใช่นักโทษ”
“งั้นลองคิดกลับกัน ถ้าอยู่ๆ มีผู้ชายหอบเสื้อผ้าไปหาคุณที่บ้านแล้วบอกเป็นสามีคุณ แต่คุณกลับจำไม่ได้ว่าเคยได้กินกันตอนไหน คุณจะไม่สงสัยเลย?”
ประโยคไร้อารมณ์ทำให้จิรัศยาสตั๊นไปหลายวินาที แม้ใบหน้าเตวิชจะเรียบเฉยแต่แววตานั้นดุดันจนทำให้ลมหายใจสะดุด
“คุณ...คิดว่าฉันโกหก” ปากเธอเร็วกว่าความคิดเสมอ และนั่นก็ทำให้รอฟังคำตอบด้วยหัวใจที่ลุ้นระทึก
เตวิชจ้องตาเธอนิ่ง “ก็คงไม่ นักแสดงชื่อดังระดับคุณคงไม่ลงทุนโกหกพกลมเรื่องพวกนี้หรอก อีกอย่างผมก็ไม่ใช่คนสลักสำคัญอะไร”
คำตอบนั้นทำให้คนที่เผลอกลั้นใจผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ พร้อมกับคลายมือที่ชื้นเหงื่อออก
“ผมแค่อยากระวังตัวไว้ จนกว่าอะไรๆ จะชัดเจน”
อะไรๆ ที่เตวิชว่ากระตุ้นต่อมความสงสัยของเธออย่างมาก แต่ก็หวั่นใจเหลือเกินว่าถ้าถามต่อแล้วคำตอบที่ได้จะยิ่งทำให้เธอเผยพิรุธ “ก็ได้ค่ะ แต่ในส่วนของห้องนอนฉันคงอะลุ่มอล่วยไม่ได้จริงๆ และฉันคงต้องขอให้คุณเซ็นสัญญาว่าถ้ามีภาพใดๆ ของฉันหลุดออกไปจากที่นี่ คุณต้องรับผิดชอบ”
ไม่มีคำตอบใดๆ เช่นเคย จิรัศยาจึงทึกทักว่าเขาตกลง เธอหยิบไอแพดขึ้นมาร่างสัญญาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งปากกาให้เขาลงชื่อ
เตวิชไล่สายตาตามตัวอักษร ครู่หนึ่งจึงยอมเขียนชื่อตัวเองลงไปโดยไม่แย้งอะไร
“ขอบคุณ หวังว่าเราจะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ” จิรัศยาสะบัดหน้าใส่แล้วเดินกลับห้องตัวเองทันที เธอขอเข้าไปกรี๊ดสักที จากนั้นจะโทร. ไประบายให้บุรัสกรได้ฟัง เพราะพิมพ์อย่างเดียวคงเข้าถึงอารมณ์โกรธที่มีไม่พอ
เสียงประตูปิดลงไม่กี่อึดใจ ก็มีข้อความเข้าที่โทรศัพท์มือถือของเตวิช พอหยิบมาเปิดดูก็พบว่าเป็นภาพสัญญาที่เขาเพิ่งลงชื่อไปเมื่อครู่
มุมปากคนอ่านยกขึ้นสูง ดวงตาวาววับ...เรื่องสนุกกำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ต่างหาก
ความคิดเห็น |
---|